LeicesterThaiFC

เลสเตอร์ ซิตี้

Foxes Never Quit" แปลว่า "จิ้งจอกไม่เคยยอมแพ้"

ประวัติสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้

ประวัติสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ เป็นหนึ่งในทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และน่าสนใจมากที่สุดทีมนึงในอังกฤษ โดยทีม “จิ้งจอกสยาม” ก่อตั้งมาแล้วกว่า 139 ปี
หลังจาก สมาคมฟุตบอลอังกฤษ ถือกำเนิดมา 21 ปี จุดเริ่มต้นของ เลสเตอร์ ซิตี้ เริ่มต้นขึ้นจากกลุ่มนักเรียนที่เป็นสมาชิกชมรมอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลที่อาศัยอยู่กับโบสถ์ เอมมานูแอล ชาเป บนถนนนิวพาร์ค สตรีท ในเมืองเลสเตอร์
โดยนักเรียนส่วนใหญ่นั้นเติบโตมาด้วยกันที่โรงเรียน วิกเกสตัน บนถนนเซาธ์เกต บาทหลวงเลเวลลีน เอช พาร์สัน และลูกศิษย์ของท่าน ได้พูดคุยกันถึงการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลใหม่ และ การรวมตัวกันในครั้งนั้น ทำให้มีการก่อตั้งคณะกรรมการประจำสโมสรขึ้นมา โดยแต่ละคนลงทุนก่อตั้งสโมสรกันด้วยเงินลงทุน คนละ 9 เพนซ์ และ ลงเพิ่มอีกคนละ 9 เพนซ์ เพื่อนำไปซื้อลูกฟุตบอล
เดอะ ฟอสส์ เวย์ (The Fosse Way) ชื่อถนนเก่าแก่ในอาณาจักรโรมัน ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของสโมสรใหม่แห่งนี้ และ ที่มาของชื่อนี้ก็คือ ถนนที่เชื่อมระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษนั่นเอง
ชัยชนะนัดแรกของ เลสเตอร์ ฟอสส์ เอฟซี เกิดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1884 ท่ามกลางแฟนบอลจำนวนไม่มากนัก ในสนามแข่งขันส่วนตัวที่ถนนฟอสส์ เซาธ์ โดย เลสเตอร์ ฟอสส์ เอาชนะ สโมสรซิสตัน ฟอสส์ ไป 5-0
โดยอายุเฉลี่ยของผู้เล่นกลุ่มนั้นเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น โดยได้ประตูจากอาร์เธอร์ เวสต์ และ ฮิลตัน จอห์นสัน คนละสองลูก บวกกับ แซม ดิงลี่ย์ ยิงอีกหนึ่งประตู ในช่วงเวลานั้นฟุตบอลยังไม่เป็นที่นิยมเหมือนในปัจจุบัน หลายคนมองไปที่การเข้าร่วมกิจกรรมและออกกำลังกายเท่านั้น
Leicester Fosse
ช่วงระหว่างปี 1884-1887 สังเวียนแข่งขันที่แรกคือ วิคตอเรีย พาร์ค ต่อมาทางสโมสรวางแผนจะย้ายมาปักหลักที่ เบลเกรฟ โร้ด ไซเคิล แต่แผนนี้ต้องล่มไปเพราะ สโมสรรักบี้เลสเตอร์ ไทเกอร์ส ประมูลสนามไปได้เสียก่อนในปี 1888
หลังจากนั้น ฟอสส์ พยายามหาทางกลับไปเล่นที่ วิคตอเรีย พาร์ค แต่ก็ทำไม่สำเร็จจนต้องไปเล่นที่สนามแถว มิลล์ เลน ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เดอ มงฟอร์ต มหาวิทยาลัยชื่อดังของเมือง เลสเตอร์
ที่สนามแห่งนี้ถือว่าทีมประสบความสำเร็จด้วยการได้ถ้วยรางวัลแรกอีกด้วย โดย ฟอสส์ คว้าแชมป์แรกหลังชนะ โคลวิลล์ ในศึกเลสเตอร์เชียร์ คันทรี่ คัพ ในปี 1890 หลังจากปีดังกล่าว พวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันเอฟเอ คัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมกับมีฉายาใหม่ว่า “เดอะ ฟอสซิล”
ในเวลานั้นทีมยังคงมองหาสถานที่ในการตั้งสำนักงานอย่างเป็นทางการของสโมสร ต่อมามีปัญหาเกิดขึ้นอีกเมื่อมีแผนการสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณสนามมิลล์ เลน ทีมจึงต้องหาทางขยับขยายอีกครั้ง และมีอีกทางเลือกหนึ่งนั่นคือสนามคริกเก็ตที่ถนน เกรซ โร้ด
ในเดือนตุลาคม ปี 1891 เลสเตอร์ ฟอสส์ ได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่ “ฟิลเบิร์ต สตรีท” ซึ่งในเวลานั้นรู้จักกันในชื่อ วอลนัท สตรีท กราวน์ ฤดูกาลแรกของ “เดอะ ฟอสซิลส์” ในมิดแลนด์ลีก ไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ว่าพวกเขาจะดึงผู้ชมเข้ามาได้ถึง 4,000 คนที่ฟิลเบิร์ต สตรีท แต่พวกเขาใช้เวลากว่า 3 ปี กว่าจะทำให้แฟนบอลเข้ามาชมเต็มสนามได้
ในฤดูกาล 1893/94 สโมสรเซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพ 19 คนและสามารถจบอันดับ 2 ของตารางได้ ก่อนที่เดือนต่อมา จุดเปลี่ยนจะเริ่มขึ้น เมื่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษตั้งลีกอาชีพอย่างเป็นทางการ และ ฟอสส์ ก็สามารถรวบรวมเสียงโหวตได้มากพอ จึงทำให้พวกเขาได้เข้าไปเล่นในดิวิชั่น 2 ของประเทศในขณะนั้น
ในช่วงเริ่มก่อตั้ง เลสเตอร์ ฟอสส์ ใช้ชุดแข่งสีดำสลับสีฟ้าอ่อน กับกางเกงสีขาว ภายหลังพวกเขาก็สลับเปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำตาลกับน้ำเงิน กระทั่งปี 1903 จึงเปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำเงินและขาว ตามที่แฟนบอลทุกคนรู้จักกันในทุกวันนี้
เลสเตอร์ ฟอสส์ ใช้เวลา 14 ปี ในการเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุด สตาร์ประจำทีมในเวลานั้นอย่าง บิลลี่ แบนนิสเตอร์ (อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ) ทำให้แฟนบอลติดตามทีมเหนียวแน่น เพิ่มจำนวนผู้ชมมากขึ้นกว่า 13,000 คน
Leicester City (1924)
แต่พวกเขาก็อยู่ในลีกสูงสุดไม่นาน เพราะเลสเตอร์ ฟอสส์ ตกชั้นทันทีหลังผ่านไปแค่ 1 ฤดูกาล จากนั้นพวกเขาประสบปัญหาด้านการเงิน กระทั่งเสี่ยงต่อสภาวะล้มละลาย
สงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดความไม่สงบภายในสหราชอาณาจักร ฟุตบอลลีกหยุดพักชั่วคราวในเดือนเมษายน ปี 1915 ขณะนั้นฟอสส์ จบในอันดับรองสุดท้ายของดิวิชั่น 2 และต้องการเสียงข้างมากในหมู่คณะกรรมการจัดตั้งลีก เพื่อรักษาสถานะให้สโมสรยังคงแข่งขันต่อไปได้
นักเตะหลายคนในสโมสรเวลานั้น เลือกข้างอยู่กับฝ่ายอักษะ เพื่อต่อต้านคนเยอรมันในประเทศ ที่กำลังลงทำการแข่งขันในลีกภูมิภาค แต่สถานการณ์ทางการเงินของทีมอาจอยู่ไม่รอดกระทั่งถึงช่วงที่สงครามสิ้นสุด ซึ่งกว่าเหตุการณ์นั้นจะมาถึงก็ล่วงเข้าไปฤดูหนาวปี 1918
การเปลี่ยนแปลงย่อมต้องเกิดขึ้นเพื่อรักษาสโมสรเอาไว้ให้อยู่รอด ภายหลังปัญหาการเงินรุมเร้า ท้ายที่สุด บริษัทใหม่ก็เข้ามาซื้อกิจการและเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น “สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้” ในปี 1919
นับจากวันนั้นจนวันนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีกรอง (ดิวิชั่น 2 และ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ) จำนวน 7 ครั้ง, เข้าชิงเอฟเอ คัพ 4 ครั้ง, คว้าแชมป์ลีก คัพได้ 3 สมัย พร้อมกับลงเล่นรายการแข่งขันในบอลยุโรป 4 ครั้ง โดยหนึ่งในนั้นคือ ทีมสามารถเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ในฤดูกาล 2016/17
และที่ขาดไม่ได้ คือ ความสำเร็จครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ พร้อมกับได้รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดเรื่องหนึ่งตลอดกาลในวงการลูกหนัง เมื่อ “จิ้งจอกสยาม” หักปากกาเซียนที่ปรามาสออกอัตรา 5,000/1 ว่า เลสเตอร์ จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ โดย ทีมดังแห่งมิดแลนด์ ภายใต้การนำของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ผู้จัดการทีมชาวอิตาลี สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2015/16
Arthur Chandler
สำหรับความสำเร็จอื่นๆที่น่าสนใจนั้น ประกอบด้วย ปี 1929 โดย เลสเตอร์ เกือบได้แชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก แต่กลับต้องพ่ายให้กับ “เดอะ เว้นส์เดย์” (เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในปัจจุบัน) แชมป์ในซีซั่นนั้นเพียงแต้มเดียว โดยทีมชุดนั้นประกอบด้วย อาเธอร์ แชนด์เลอร์ และดาวเตะทีมชาติอังกฤษอย่าง ฮิวจ์ แอดค็อต, เอิร์นนี่ย์ ไฮน์ และ เลน แบร์รี่
ต่อมาคือในยุค 30 เลสเตอร์ ประสบความสำเร็จน้อยลงก่อนที่จะตกชั้นสู่ดิวิชั่น 2 หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้าชิง เอฟเอ คัพ ได้ในปี 1949 ก่อนที่จะกลับสู่ดิวิชั่น 1 ในปี 1954 และตกชั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเลื่อนชั้นมาอีกทีในปี 1957
ในยุค 60 นั้น สตาร์ดังคือ อาเธอร์ โรว์ลี่ย์ ผู้ยิงไปถึง 434 ประตูตลอดการค้าแข้งในเกมลีก (ถือเป็นสถิติสูงตลอดกาลของฟุตบอลอังกฤษ) ในช่วงดังกล่าว เลสเตอร์ เข้าชิงเอฟเอ คัพถึงสามครั้งในปี 1961, 1963 และ 1969 และต้องรอไปอีก 52 ปีกว่าจะได้คว้าถ้วยแชมป์รายการนี้เมื่อปี 2021
โรว์ลี่ย์ ยังพาทีมทำผลงานได้ดีในลีก ขณะที่บอลถ้วยอย่าง ลีก คัพ นั้น เจ้าของฉายา ดิ ไอซ์ คิง “ราชันย์แห่งยุคน้ำแข็ง” พาทีมได้แชมป์ในปี 1964 และรองแชมป์ในปีต่อมาอีกด้วย
นอกจากนี้ เลสเตอร์ ยังผ่านเข้าไปแข่งขันฟุตบอล คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1961 ส่วน กอร์ดอน แบงค์ส ซึ่งเป็นนายทวารคนสำคัญของทีมในตอนนั้นได้แชมป์โลกกับทีมชาติอังกฤษด้วย
และหลังจากลงไปเล่นใน ดิวิชั่น 2 อยู่ปลายปี เลสเตอร์ ก็เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในช่วงยุค 70 โดยตลอดหลายปีบนลีกสูงสุด พวกเขาทำผลงานได้ดี พร้อมกับได้ชื่อว่า เล่นสนุกถูกใจแฟน แต่สุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ตกชั้นอีกครั้งในปี 1978
Leicester City Ice Kings
ในปี 1971 หลังจากแชมป์ลีกและคัพ ตกเป็นของ อาร์เซนอล ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันพรีซีซั่นในช่วงสุดสัปดาห์ในการแข่งขัน เอฟเอ แชริตี้ ชิลด์ (ปัจจุบันคือ เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์) เลสเตอร์ แชมป์ดิวิชั่นสองต้องเผชิญหน้ากับ รองแชมป์เอฟเอ คัพ กับ ลิเวอร์พูล
ประตูเดียวของสตีฟ วิทเวิร์ธ ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ “หงส์แดง” 1-0 ที่ ฟิลเบิร์ต สตรีท เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1971 ซึ่งเป็นเวลา 50 ปีก่อนที่ “จิ้งจอกสยาม” จะคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ เป็นครั้งที่สอง
ยุค 80 เลสเตอร์ เองยังคงทำผลงานได้ไม่สม่ำเสมอ พวกเขาได้เลื่อนชั้นอีกสองครั้ง แต่ก็ตกชั้นอีกสองครั้งเช่นกัน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาดังกล่าว สามประสานอย่าง แกรี่ ลินิเกอร์, อลัน สมิธ และ สตีฟ ลิเน็กซ์ เคยสร้างสถิติยิงรวมกันมากกว่า 150 ลูกในสามฤดูกาลที่เล่นด้วยกัน
ถัดมาคือหลังปี 1990 ในช่วงนี้ “จิ้งจอกสยาม” ทำผลงานได้ดี และมีโอกาสไปเล่นในสนาม เวมบลีย์ ถึง 7 ครั้งในรอบ 9 ปี โดย 2 ใน 7 ครั้งคือการชิงตั๋วขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกในปี 1994 และ 1996
อีกสองครั้งคือการไปคว้าแชมป์ลีก คัพได้สองสมัยในปี 1997 และ 2000 นอกจากนี้ในสี่ปีสุดท้ายก่อนขึ้นศตวรรษใหม่ เลสเตอร์ ที่นำโดย มาร์ติน โอนีลล์ ติดท็อปเทนของลีกทุกปี และยังเคยได้ไปเล่น ยูฟ่า คัพ อีกสองครั้งด้วย
Martin O'Neill
สำหรับศตวรรรษที่ 21 นั้น เลสเตอร์ ต้องตกชั้นในปี 2002 ก่อนหน้าที่จะย้ายจากสนามเก่าคือ ฟิลเบิร์ต สตรีท ไปยังสนามใหม่ที่ชื่อ วอล์คเกอร์ สเตเดี้ยม (เปลี่ยนชื่อเป็น คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ในเวลาต่อมา)
เลสเตอร์ ยังคงขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดกับลีกรอง โดยพวกเขาขึ้นชั้นกลับมาในปี 2003 ก่อนที่จะตกชั้นทันทีในปีต่อมา
ในปี 2007 มิลาน แมนดาริช เข้าเทคโอเวอร์เลสเตอร์ ซิตี้ แต่สถานการณ์ของทัพ “จิ้งจอกสยาม” กลับแย่ลงไปอีก เมื่อพวกเขาตกชั้นไปสู่ ลีก วัน ซึ่งเป็นลีกลำดับสามของประเทศ และนั่นคือความตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีของสโมสร อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ เลื่อนชั้นกลับมาได้ทันทีในปีเดียว หลังได้แชมป์ ลีก วัน ในฤดูกาล 2008/09
จุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์มาถึงอีกครั้งในปี 2010 เมื่อกลุ่มทุน เอเชียน ฟุตบอล อินเวสต์เมนท์ ซึ่งนำโดยเจ้าของกิจการ คิง เพาเวอร์ จากประเทศไทยอย่าง คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา เข้ามารับหน้าที่ประธานสโมสร โดยมี คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เข้ามารับหน้าที่รองประธานสโมสร โดยหลังจากนั้น ครอบครัวศรีวัฒนประภา กลายเป็นเจ้าของทีมอย่างเต็มตัว และลงทุนอย่างเต็มที่กับสโมสร
ผลงานที่ปรากฎชัด คือ การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยแชมป์ ลีก แชมเปี้ยนชิพ ที่มาพร้อมสถิติอันยอดเยี่ยมในซีซั่น 2013/14 เช่นเดียวกับตำนาน The Great Escape ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014/15 โดยในฤดูกาลนั้น เลสเตอร์ รั้งอันดับสุดท้ายของตารางมาตลอดหลายเดือน ขณะที่เหลือเกมการแข่งขันอีกเพียง 9 นัดเท่านั้น แต่ผลงานใน 9 เกมดังกล่าว เลสเตอร์ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ชนะ 7 เสมอ 1 และ แพ้ 1 ก่อนที่ท้ายที่สุด “จิ้งจอกสยาม” จะรอดตกชั้นและจบที่อันดับ 14 ของตาราง
ความมหัศจรรย์ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อหนึ่งปีต่อมาจาก “ทีมบ๊วย” ในวันนั้น ใครจะเชื่อว่า เลสเตอร์ จะกลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 132 ปีของสโมสรเลยทีเดียว จนกลายเป็น “เทพนิยายจิ้งจอกสยาม” ในตำนาน
นอกจากนี้บรรดาดาวเตะของทีมต่างพากันทำผลงานได้ยอดเยี่ยม อย่าง เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่งที่ทีมดึงมาจากนอกลีก สร้างสถิติยิงติดต่อกัน 11 นัดจนกลายเป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับ ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ต่างย้ายทีมมาในค่าตัวแสนถูก แต่กลับโชว์ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซ
การได้แชมป์ลีกส่งผลให้ เลสเตอร์ ได้ไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร พวกเขาผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ก่อนปราบ เซบีย่า ทีมดังจากสเปนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ความฝันของ “จิ้งจอกสยาม” หยุดแค่รอบ 8 ทีมเท่านั้น หลังพ่ายให้กับ แอตเลติโก มาดริด ด้วยสกอร์รวม 1-2
วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2018 ถือเป็นเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ของสโมสร คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฯ ถึงแก่กรรมหลังประสบอุบัติเหตุเฮลิค็อปเตอร์ตก พร้อมด้วยผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย ด้านนอกสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
Leicester City lift the Premier League
คุณอัยยวัฒน์ บุตรชาย ให้คำมั่นว่าจะสืบสานเจตนารมณ์ของคุณวิชัย ต่อไป ภายใต้การบริหารของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล และ เซลติก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 จนทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมระดับท็อปของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก
หลังจบอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2019/20 สโมสรจบอันดับที่สูงสุดเป็นอันดับสองในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก “จิ้งจอกสยาม” เข้าแข่งขันในยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ซึ่งก่อนหน้านี้คือ ยูฟ่า คัพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปลี่ยนระบบการแข่งขัน โดยเข้าถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย ด้วยชัยชนะเหนือ เอสซี บราก้า, ซอร์ย่า ลูแฮงส์ และ เออีเค เอเธนส์
ในเดือนพฤษภาคม การรอคอยกว่า 137 ปี ก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ สโมสร โดยเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้, เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเซาธ์แฮมป์ตัน ในรอบก่อนหน้านี้ “จิ้งจอกสยาม” พบกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศที่ สนามเวมบลีย์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2021
Leicester City lift the FA Cup
เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 การแข่งขันจึงถูกจัดขึ้นแบบไม่เปิดให้เข้าชม เป็นเวลากว่าหนึ่งปี แต่เนื่องจากเกมนี้เป็นการทดสอบจึงเปิดให้มีผู้ชมสามารถเข้าร่วมได้ถึง 22,000 คน ซึ่งรวมถึงแฟนบอล “จิ้งจอกสยาม” กว่า 6,000 คน
พวกเขามีความสุขอย่างยิ่ง หลัง ยูริ ติเลอม็องส์ ยิงประตูชัยในช่วงครึ่งหลัง เอาชนะ เชลซี 1-0 จนทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ฉลองแชมป์ ที่สนามเวมบลีย์ และมีการเฉลิมฉลองในเลสเตอร์เชียร์และทั่วโลก
นั่นหมายความว่าสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้คว้าแชมป์รายการสำคัญทั้งหมดในวงการฟุตบอลอังกฤษครบถ้วนแล้ว ได้แก่ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีกคัพ อีกทั้งยังคว้าแชมป์ เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ (เดิมคือ เอฟเอ แชริตี้ ชิลด์) สมัยที่สองได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2021 จากชัยชนะ 1-0 เหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเวมบลีย์
ในฤดูกาล 2021/22 ทีม จิ้งจอกสยาม ตกรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แต่การแข่งขันรายการใหม่อย่าง ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ได้เปิดโอกาสให้สโมสรได้เดินหน้าลุยเวทียุโรปต่อไป เลสเตอร์สามารถเอาชนะ แรนเดอร์ส เอฟซี และแรนส์ ก่อนจะบุกไปเฉือนชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในช่วงท้ายเกม ส่งผลให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เส้นทางของพวกเขาจบลงที่รอบนี้ หลังพ่ายให้กับ อาเอส โรมา ด้วยสกอร์รวม 1-2
แต่ในฤดูกาล 2022/23 ผลงานของทีมไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เมื่อหล่นไปอยู่ในโซนตกชั้นในเดือนเมษายน ทำให้สโมสรตัดสินใจแยกทางกับผู้จัดการทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และแต่งตั้ง ดีน สมิธ อดีตกุนซือของเบรนท์ฟอร์ด, แอสตัน วิลลา และนอริช ซิตี้ เข้ามารับตำแหน่งแทน โดยมี เคร็ก เชคสเปียร์ อดีตผู้จัดการทีมเลสเตอร์ ซิตี้ และจอห์น เทอร์รี่ อดีตกัปตันทีมเชลซีและทีมชาติอังกฤษ ร่วมเป็นทีมงานสต๊าฟโค้ช
Leicester City lift the Championship trophy
เลสเตอร์ ซิตี้ ประสบกับความพ่ายแพ้ถึง 22 นัดในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งมากกว่าทุกฤดูกาลที่พวกเคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกทั้ง 16 ฤดูกาลที่ผ่านมา โดยตลอดฤดูกาล ทีมมีช่วงที่ไม่ชนะใครยาวนานถึง 7 และ 9 นัดติดต่อกัน แม้ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาจะชนะ 4 จาก 5 นัด ซึ่งสร้างความหวังให้กับทีมก่อนหยุดพักช่วงฤดูหนาว สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
แม้เลสเตอร์จะสามารถเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลได้ แต่ผลการแข่งขันจากคู่อื่นไม่เป็นใจ ทำให้พวกเขาต้องตกชั้นกลับสู่แชมเปี้ยนชิพ
ฤดูกาลจบลงด้วยการที่เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในอันดับที่ 18 ของตารางพรีเมียร์ลีก โดยมี 34 คะแนน อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้ทันทีภายใต้การคุมทีมของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีมชาวอิตาลี โดยเก็บได้ถึง 97 คะแนน และคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพเป็นสมัยที่ 8 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของประเทศ
เจมี่ วาร์ดี้ ในวัย 37 ปียังคงเป็นกำลังสำคัญของทีม โดยทำไป 20 ประตูในทุกรายการ พาเลสเตอร์กลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

Player Gallery

ตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก